การไม่รู้หนังสือของศาสดาแห่งศาสนาอิสลามเป็นข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ ซึ่งยังกล่าวถึงในคัมภีร์อัลกุรอานด้วย ในหนังสือ The Illiterate Prophet ศาสตราจารย์ Shahid Motahari ได้ระบุความหมายของคำว่า "ไม่รู้หนังสือ" จากมุมมองของนักวิจารณ์ศาสนาอิสลาม และได้อ้างอิงข้อพระคัมภีร์จากคัมภีร์อัลกุรอานเพื่อตีความอย่างถูกต้อง และด้วยวิธีนี้ เขาจึงตอบโต้ข้อกล่าวหาที่ลำเอียงของฝ่ายตรงข้ามอย่างมีเหตุผลและมีตรรกะ หัวข้อที่กล่าวถึง ได้แก่ ศาสดาที่ไม่ได้รับการศึกษา การอ้างสิทธิ์ที่แปลกประหลาด ข้อกล่าวหาของฝ่ายตรงข้าม บทสุดท้ายที่มีชื่อว่า "บทสรุป" สรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้

หัวข้อที่ครอบคลุมในหนังสือเล่มนี้ ได้แก่ ผู้ส่งสารที่ไม่ได้รับการศึกษา เลขานุการของศาสดา กระบวนการฮุดัยบียะห์ การอ้างสิทธิ์ที่แปลกประหลาด การกล่าวหาของฝ่ายตรงข้าม บทสุดท้ายที่มีชื่อว่า "บทสรุป" สรุปและสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ พระองค์ผู้ซึ่งไม่คุ้นเคยกับปากกา กระดาษ หมึก การอ่าน และการเขียน ได้สาบานต่อปากกาและผลงานของปากกาว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ในหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ และในสาส์นสวรรค์ฉบับแรกของพระองค์ พระองค์ทรงสั่งให้อ่าน และแนะนำวิทยาศาสตร์ ความรู้ และศิลปะการใช้ปากกาเป็นพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ประทานแก่มวลมนุษย์หลังจากพรแห่งการสร้างสรรค์
ผู้ที่ยังไม่ได้หยิบปากกาขึ้นมาทันทีหลังจากเข้าสู่เมดินาและสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่เรียบง่าย ได้สร้างขบวนการปากกา และแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นครูมนุษย์และไม่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งความรู้หรือมหาวิทยาลัย แต่ตัวเขาเองก็กลายเป็นครูของมวลมนุษย์และผู้สร้างโรงเรียนแห่งความรู้และมหาวิทยาลัย (ศาสดาอุมัยยัด หน้า 88) ในหนังสือเล่มนี้ ศาสตราจารย์มุตฮารีได้ตรวจสอบประเด็นเรื่องความไม่รู้หนังสือของท่านศาสดามูฮัมหมัด โดยอาศัยประวัติศาสตร์ หลักฐานจากอัลกุรอาน และหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ มากมาย รายชื่อและหัวข้อของหนังสือเล่มนี้มีดังนี้:
บทนำ
ผู้ส่งสารที่ไม่ได้รับการศึกษา
คำสารภาพของผู้อื่น
วิล ดูแรนท์
จอห์น เดเวนพอร์ต
คอนสแตนติน เวอร์จิล จอร์จิอู
กุสตาฟ เลอ บอง
ช่วงเวลาก่อนเป็นศาสดา
ต้นกำเนิดของการเขียนอักษรในฮิญาซ
ช่วงเวลาเป็นศาสดาและโดยเฉพาะช่วงเวลาแห่งเมดินา
เลขานุการของศาสดา
ชื่อของเลขานุการของศาสดาแห่งพระเจ้าในหนังสือประวัติศาสตร์
หน้าที่พิเศษของเลขานุการแต่ละคน
กระบวนการฮุดัยบียะห์
รูปแบบของสนธิสัญญาสันติภาพ
คำบรรยายของชาวชีอะห์เกี่ยวกับรูปแบบของสนธิสัญญาสันติภาพ
กระบวนการฮุดัยบียะห์ตามนักประวัติศาสตร์
คำบรรยายในกระบวนการฮุดัยบียะห์ไม่สม่ำเสมอ
ข้ออ้างที่แปลกประหลาด
ความหมายของคำว่า อุม อุม อุม อัลกุรอ
ผู้นับถือพระเจ้าหลายองค์ในอาหรับที่ไม่นับถือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
อ้างโดย ดร. ซัยยิด อับดุล ลาติฟ เกี่ยวกับความหมายของ คำว่า อุมม์ อัศดาบาดี
ศาสดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จากคำพูดของอาลี
คำพูดของอิบนุ คัลดูนในบทนำอันโด่งดังของเขา
ความหมายของคำสองคำคือ "เศาะฮีฟะฮ์" และ "ยัตลาวา"
ประวัติศาสตร์และหะดีษ
ข้อกล่าวหาของฝ่ายตรงข้าม
บทสรุป

Author

Editor

Interpreter

Common title

Number of volumes

Persian Title

Publish location

Publication year

Publish number

Publisher

Qr Code

Sect

Scholar

ISBN

Source

Translated

Translated Fields

Custom Canonical

is suggested

Rate

Indexing

SEO Title

View

Votes

ท่านศาสตาผู้ไม่รู้หนังสือ

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 14 โดยชีคอับบาส โกมีในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งมาชฮัด โดยจะพิจารณาคำบรรยายที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มก่อนๆ เช่น หนังสืออิคบัลโดยซัยยิด อิบนุ เตาุส และมิสบาห์ คาฟามี ในเวลานั้น มาฟาติห์ อัล-จินันพยายามรวบรวมหะดีษชีอะห์ที่แท้จริงและมอบให้กับชาวมุสลิมในรูปแบบหนังสือ และอัล-ฮักก์ก็ประสบความสำเร็จในภารกิจนี้ มาฟาติห์ อัล-จินันถือเป็นหนังสืออ้างอิงชีอะห์เล่มหนึ่งในปัจจุบัน และชีคจำนวนมากใช้หนังสือเล่มนี้ในการปฏิบัติศาสนกิจและพิธีกรรมทางศาสนาในโอกาสต่างๆ เนื้อหาของหนังสือมาฟาติห์ อัล-จินันประกอบด้วยการสวดมนต์และพิธีกรรมทางศาสนา การสวดมนต์ การแสวงบุญ และการวิงวอนต่างๆ ที่เล่าโดยอิหม่ามผู้ยิ่งใหญ่ ชีคอับบาส โกมี ผู้รวบรวมหนังสือเล่มนี้

(มาฟาติห์ อัล-จินัน คัดสรร) มุนตะค็อบ มะฟาติฮุลญินาน กุญแจแห่งสรวงสวรรค์

หนังสือสี่สิบฮะดีษ ผลงานเขียนของท่านอิมามโคมัยนี ซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดยอาจารย์

อับดุลลอฮ์ มานะจิตต์ และจัดพิมพ์โดยศูนย์วัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ประจำกรุงเทพฯ

ฮะดีษที่ หนึ่ง เรื่อง ญิฮาด อัน-นัฟส์

ฮะดีษที่ สอง เรื่อง ริยาอ์

ฮะดีษที่ สาม เรื่อง อุญบ์

ฮะดีษที่ สี่ เรื่อง กิบร์

ฮะดีษที่ห้า เรื่อง ฮะซัด

ฮะดีษที่หก เรื่อง การรักโลก

ฮะดีษที่เจ็ด เรื่อง ความโกรธหรือโทสะ(เฆาะฏอบ)

ฮะดีษที่แปด เรื่อง อะศอบียะฮ์

ฮะดีษที่เก้า เรื่อง การกลับกลอก (นิฟาก)

ฮะดีษที่สิบ เรื่อง ความอยากและความหวัง

ฮะดีษที่สิบเอ็ด เรื่อง ธรรมชาติในการแสวงหา

พระเจ้าของมนุษย์

ฮะดีษที่สิบสอง เรื่อง การเพ่งพินิจ (ตะฟักกุร)

ฮะดีษที่สิบสาม เรื่อง ตะวักกุล

ฮะดีษที่สิบสี่ เรื่อง การยำเกรงต่อพระเจ้า

ฮะดีษที่สิบห้า เรื่อง การทดสอบ และการถูกทดสอบของผู้ศรัทธา

ฮะดีษที่สิบหก เรื่อง ซอบัร

ฮะดีษที่สิบเจ็ด เรื่อง เตาบะฮ์

สี่สิบฮะดีษ เล่ม 1

คู่มือฮัจญ์โดยทั่วไปจะครอบคลุมถึงความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีกรรมของฮัจญ์ ขั้นตอนต่าง ๆ รวมถึงประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้แสวงบุญต้องปฏิบัติในระหว่างฮัจญ์ คู่มือนี้จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับขั้นตอนต่าง ๆ ของฮัจญ์ เช่น การอิฮรอม การยืนในอาราฟัตและมาชอาร์ฮารอม การขว้างญะมะรัต การตะวาฟ และซาอีระหว่างเศาะฟาและมัรวะฮ์
ขั้นตอนของฮัจญ์:
อิฮรอม: ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการสวมเสื้อผ้าพิเศษที่ผู้แสวงบุญสวมใส่ระหว่างเส้นทางฮัจญ์
การยืนในอาราฟัต: ผู้แสวงบุญจะละหมาดและละหมาดที่ขั้นตอนนี้ในดินแดนอาราฟัต ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญในฮัจญ์
การยืนในมาชอาร์ฮารอม: หลังจากอาราฟัตแล้ว ผู้แสวงบุญก็จะยืนในมาชอาร์ฮารอมเช่นกัน
การขว้างญะมะรัต: ผู้แสวงบุญจะขว้างก้อนหินใส่สามญะมะรัตในมินา
การบูชายัญ: ในขั้นตอนนี้ ผู้แสวงบุญจะบูชายัญ การโกนผมหรือตักซีร: หลังจากการสังเวย ผู้แสวงบุญจะตัดผมของตนเองทั้งหมดหรือบางส่วน
การตะวาฟฮัจญ์: ขั้นตอนนี้รวมถึงการเดินวนรอบกะอ์บะฮ์
การละหมาดตะวาฟฮัจญ์: หลังจากละหมาดตะวาฟฮัจญ์ ผู้แสวงบุญจะละหมาด
ซาอีระหว่างเศฟาและมัรวะห์: ในขั้นตอนนี้ ผู้แสวงบุญจะเดินหรือวิ่งระหว่างเศฟาและมัรวะห์
การตะวาฟอันนิซา: การตะวาฟนี้สำหรับผู้หญิง
การละหมาดตะวาฟอันนิซา: หลังจากละหมาดตะวาฟอันนิซา ผู้แสวงบุญจะละหมาด
บัยตุฏอในมินา: ผู้แสวงบุญจะพักค้างคืนในมินา
การขว้างก้อนหินใส่สามญะมารอต: ผู้แสวงบุญขว้างก้อนหินใส่สามญะมารอตในมินา

คู่มือฮัจญ์

ท่านหญิงซัยนับ ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 1 ชะอ์บาน ฮ.ศ. 6 แต่มีรายงานที่แตกต่างกันเกี่ยวกับวันที่แน่นอน ตามรายงานของ มุซัฟฟารี ในหนังสือ ตะราซูลมัซฮับ ตรงกับวันที่ 9 เดือนรอมฎอน ฮ.ศ. 9 ในขณะที่ผู้ประพันธ์ หนังสือชื่อ คอซอสซีซัยนาบียะฮ์ บันทึกว่า วันที่ 5 ยะมาดิลเอาวัล ฮ.ศ. 5 หรือ 6 และบ้างก็ว่า วันที่ 5 รอบิอุลเอาวัล ฮ.ศ. 6 แต่ส่วนใหญ่จะรายงานใกล้เคียงกันคือ 1 ชะอ์บาน ซึ่งเป็นไปตามที่ท่านเชค มุฮัมมัด ฮาซัน นาญัฟฟี มุจญ์ตะฮิดได้กำหนดให้วันนี้ เป็นวันมงคลในการประกอบคุณงามความดีและบริจาคทาน เพื่อเป็นการรำลึกถึงสตรีผู้สูงส่ง

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

<p data-hc-id="06508d9aa940512f013100102120">หนังสือสี่สิบหะดีษของอิหม่ามเขียนขึ้นโดยอธิบายและตีความหะดีษสี่สิบประการจากอิหม่ามผู้บริสุทธิ์และไม่มีข้อผิดพลาด (อ.ส.) วิธีการของอิหม่ามโคมัยนี (ร.อ.) ในการอธิบายหะดีษเหล่านี้ก็คือการเล่าหะดีษก่อนแล้วจึงแปลเป็นภาษาเปอร์เซีย โดยอธิบายคำดั้งเดิมของหะดีษ การแสดงออก และความหมายของหะดีษ หนังสือสี่สิบฮะดีษ ผลงานเขียนของท่านอิมามโคมัยนี ซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดยอาจารย์ อับดุลลอฮ์ มานะจิตต์ และจัดพิมพ์โดยศูนย์วัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ประจำกรุงเทพฯ</p>

สี่สิบฮะดีษ เล่ม 2 (No.18-28)

ในหนังสือเล่มนี้ เราตั้งใจจะกล่าวถึงลักษณะนิสัย บุคลิก และวิถีชีวิต ตลอดจนคำสอนอันสูงส่งของศาสดามูฮัมหมัด บุตรของอับดุลลาห์ (อ.ส.) บุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาสนาอิสลาม และผู้สืบทอดตำแหน่งของท่าน อิหม่าม อาลี บุตรของอบูฏอลิบ (อ.ส.) ในที่สุด เราจะกล่าวถึงลักษณะนิสัยและเหตุผลของการเคลื่อนไหวในวันอาชูรอของอิหม่ามฮุเซน (อ.ส.) หวังว่าผลงานนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิจัยและนักวิชาการทุกศาสนาเพื่อให้คุ้นเคยกับบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้มากขึ้น

ศาสดาและวงศ์วานแบบฉบับของมนุษย์

สิ่งที่คุณกำลังอ่านนี้เป็นการตรวจสอบทฤษฎีของศาสตราจารย์ Motahari เกี่ยวกับการปฏิรูปทางศาสนาและสังคม ระบุลักษณะเฉพาะของผู้ปฏิรูปที่มีความชอบธรรมและบทบาทของนักวิชาการด้านศาสนาในโครงการปฏิรูปประวัติศาสตร์ และอธิบายมุมมองของศาสตราจารย์เกี่ยวกับเป้าหมายและพยาธิวิทยาของการปฏิรูปโดยกล่าวถึงกรณีของอันตราย 10 กรณี

ขบวนการอิสลามกับการปฏิรูปสังคม

การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาถือเป็นพิธีกรรมที่มนุษย์ไม่สามารถวัดความลึกซึ้งได้ ปรัชญาของศาสนาไม่อาจเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ และจุดประสงค์เบื้องหลังคำตัดสินก็ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ผู้ศรัทธาก็ต้องประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อเป็นการยอมจำนนและเข้าใกล้พระเจ้าผู้ทรงอำนาจและยิ่งใหญ่ มนุษย์ได้ก้าวหน้าอย่างมากในสาขาวิทยาศาสตร์ ความสำเร็จนี้ทำให้คนรุ่นใหม่แสวงหาความรู้และแสวงหาจุดประสงค์ของการอยู่เฉยๆ นักวิชาการมุสลิมชื่อดัง ชีค มูฮัมหมัด บากิร อัล-ซาดร์ ได้ตอบคำถามนี้ในหนังสืออันทรงคุณค่าของเขาชื่อ “General Observations on Religious Rituals” เราได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับผู้เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเล่มอื่นๆ ของเขา เช่น “The Messengers” “The Messengers” และ “The Epistles” ในฉบับแปล

มุมมองทั่วไปเกี่ยวกับการนมัสการ (การศึกษาเนื้อหาการนมัสการของศาสนาอิสลามและบทบาทในการสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์) ตามที่อธิบายไว้ในคำนำของหนังสือ เราพบว่าไม่จำเป็นต้องแนะนำหนังสือเล่มนี้มากกว่าที่จะแนะนำตัวเองให้กับผู้ที่อ่านอย่างตั้งใจและไตร่ตรอง หนังสือเล่มนี้แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีประโยชน์อย่างมากและโดดเด่นด้วยการค้นคว้าที่แปลกใหม่ ความคิดที่ลึกซึ้ง และความเข้าใจอย่างครอบคลุมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ในโครงร่างทั่วไป เพียงพอสำหรับเราแล้วที่ผู้เขียนคือนักคิดอิสลามผู้ยิ่งใหญ่ ซัยยิด มูฮัมหมัด บากิร อัลซาดร์ ซึ่งเราได้แนะนำเขาโดยย่อพร้อมกับงานเขียนและผลงานของเขาในคำนำของการแปลภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มอื่นของเขา The Sender, The Message, The Messenger

พิจารณาศาสนพิธี

ดุอาแห่งพันธสัญญาเป็นคำอธิษฐานที่เล่าโดยอิหม่ามซาดิก (AS) และประกอบด้วยการต่ออายุคำปฏิญาณต่ออิหม่ามแห่งกาลเวลา (AJT) คำอธิษฐานนี้เป็นหนึ่งในคำอธิษฐานที่ได้รับการเน้นย้ำอย่างมากในช่วงที่อิหม่ามมะห์ดี (AJT) ปกปิด กล่าวกันว่าใครก็ตามที่อ่านคำอธิษฐานนี้ 40 ครั้งในตอนเช้าจะเป็นหนึ่งในผู้ช่วยเหลือของอิหม่ามแห่งกาลเวลา (AJT)

ดุอาแห่งพันธสัญญาประกอบด้วยคำทักทายพิเศษจากผู้สวดดุอา ตลอดจนจากผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิงในตะวันออกและตะวันตกของโลก บนบกและในทะเล และจากพ่อแม่และลูกๆ ถึงอิหม่ามมะห์ดี (อ.ส.) จากนั้นเขาจะต่ออายุพันธสัญญาและความจงรักภักดีต่ออิหม่ามนั้นและประกาศความแน่วแน่ต่อพันธสัญญานี้ไปจนตลอดชีวิตของเขา จากนั้นเขาขอต่อพระผู้เป็นเจ้าว่าหากความตายของฉันเกิดขึ้นในขณะที่อิหม่ามแห่งเวลายังไม่ปรากฏ โปรดให้ฉันฟื้นจากหลุมศพหลังจากที่เขาปรากฏ และทำให้ฉันมีความสุขด้วยความช่วยเหลือของอิหม่ามนั้น จากนั้นคำขอให้พบกับอิหม่ามจะถูกแสดงออกด้วยวลีที่ละเอียดอ่อน และการอธิษฐานขอให้การปรากฏตัวและการบรรเทาทุกข์เกิดขึ้นเร็วขึ้น และการจัดตั้งรัฐบาลที่ถูกต้องและระเบียบของโลก และการฟื้นฟูความจริงของศาสนาและผู้ศรัทธาคือบทสรุปของดุอานี้

คำอธิษฐานพันธสัญญา

คำนำ
จุลสารเล่มนี้ คือ “บทนำเกี่ยวกับ อัล-กุรอาน ซึ่งนักปราชญ์ในแนวทาง อิมามียะ ได้เขียนขึ้น เพื่อที่จะ ให้ท่านผู้อ่านได้สนใจในความหมายแห่งคัมภีร์ อัล-กุรอาน ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงประทานมาให้แก่มนุษย
ชาติทั้งมวล โดยผ่านศาสนทูต (ศอล) เป็นสาส์นที่นำมว มนุษย์ให้ยอมรับในความมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ผู้ ซึ่งดำรงอยู่จริงเหนือสิ่งอื่นใด ซึ่งจิตมนุษย์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ตามธรรมชาติดั้งเดิมเท่านั้นจะตระหนักรับรู้ได้ นับเป็นจิต สำนึกที่เกี่ยวกับพระผู้สร้างชีวิตที่ทรงอยู่ใกล้ชิดชีวิตของมนุษย์ ยิ่งกว่าเส้นเลือดที่คอหอยของมนุษย์เองเสียอีก เป็นสภาวะตั้ง เดิมก่อนการมีสรรพสิ่งใด ทรงดำรงอยู่อย่างเป็นนิรันทร์ ไม่ มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พระองค์ทรงบริสุทธิ์อย่าง ยิ่ง บรรดาการสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ พระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล พระผู้ยิ่งใหญ่ไพโรจน์ซึ่ง ทรงสร้างสรรพสิ่งทรงทำให้เป็นรูปร่าง ทรงกำหนดกฎเกณฑ์
ในทุกปรากฏการณ์ ทรงกิจการอยู่ทุกขณะ ทรงมีเจตนารมณ์ และทรงเมตตาปรานีอันไม่สิ้นสุด พระองค์ทรงปรีชาญาณ ทรงเห็น และตรัส ฯลฯ บรรดานามอันประเสริฐทั้งหลาย เป็นของพระองค์ ผู้ทรงความงามที่สุด ทรงความดีที่สุด ทรงความยุติธรรมที่สุด เป็นที่มาของมโนธรรมสำนึกทางด้าน ศีลธรรม เป็นเจ้าแห่งกฎจริยธรรม ดี ชั่ว บุญ บาป และ สวรรค์นรก ฉะนั้น ความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวนั้นจึง เป็นธรรมชาติตั้งเดิมแต่อ้อนแต่ออกของชีวิต ด้วยเหตุนี้ จิต สำนึกในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวนั้นจึงเป็นคุณค่าที่สูงส่ง ของชีวิตและเป็นบ่อเกิดของมาตรการแห่งคุณค่าอื่น ๆ หาไ แล้ว มนุษย์ก็จะโง่เขลางมงายและตกต่ำ ความใกล้ชิดในจิต ใจของผู้ศรัทธากับพระผู้สร้างชีวิตนั้นดำรงอยู่เป็นนิรันด เป็นเสมือนฉายาหนึ่งในตัวมนุษย์เองซึ่งเร้นลับเสมือนเปิดเผย และเปิดเผยเสมือนเร้นลับ เป็นแก่นสารของชีวิตที่แท้จริง เป็นที่มาของพลังชีวิต ของความคิดและการกระทำ เป็น สภาวะที่อยู่เหนือกาลเวลาและสถานที่ ไม่เสมอเหมือนกับ สรรพสิ่งใด ๆ ในสากลโลก แต่พระองค์ดำรงอยู่เป็นนิจกา รู้เขียนได้คัดโองการจาก ซูเราะห์ ต่าง ๆ มาให้ผู้อ่าน ได้ศึกษาถึงเอกภาพ (เตาซีด) ของพระองค์ เพื่อชี้นำให้ผู้อ่าน ได้พิจารณาจักได้ศึกษาค้นคว้าต่อไปเพื่อเป็นการเพิ่มพูนสติ ปัญญาและความสำนึกในจิตใจส่วนลึก เอกภาพของอัลลอย นั้นเป็นพื้นฐานของศาสนาและของระเบียบแบบแผน ตลอด ทั้งระบบกฎหมาย และระบบสังคมการเมืองของมวลมุสลิม เป็นพื้นฐานของอิสลามและเป็นหน้าที่ที่ผู้ศรัทธาทุกคนจะต้อ เชิญชวนให้พี่น้องมวลมนุษย์ได้ศึกษาใคร่ครวญด้วยวิทยญาณ และด้วยเหตุผลที่ชัดแจ้งตามหลักฐานแห่งคัมภีร์ อัลกุรอาน
ซึ่งจะเป็นที่มาของความสงบสุขในจิตใจและในสังคมมนุษย์ เพื่อที่จะให้มนุษย์ได้พัฒนาเข้าไปสู่อารยธรรมที่สูงส่งในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านจิตวิญญาณและด้านวัตถุธรรมทั้งปวง จิตสำนึก ในเรื่องอัลลอยนี้จะช่วยทำให้มนูญย์ได้รับการปลดปล่อยออก จากความมีดทั้งหลายและความอยุติธรรมต่าง ๆ นานา เพื่อ ไปสู่วิวัฒนาการแห่งชีวิตที่สูงส่งยิ่ง ๆ ขึ้นไปทั้งโลกนี้และโลก หน้า ซึ่งเป็นความสืบต่อเนื่องของชีวิตในกระแสแห่งกาลเวล ฉะนั้น การศึกษาในเรื่องเอกภาพของอัลลอฮนั้นจักทำให้เกิดสันติภาพถาวรขึ้นแก่มนุษยชาติ จนกระทั่งมนุษย์ได้เจริญทาง

บทนำเกี่ยวกับ อัล-กุรอาน

อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) (ภาษาอาหรับ: أهل البيت عليهم السلام) คือ ครอบครัวของ ศาสดาแห่งอิสลาม หมายถึง บรรดาผู้บริสุทธิ์ทั้ง 14 คน ดังที่กล่าวไว้ในหนังสือวรรณคดีและตำราวิชาการของ ชีอะฮ์ ตัวอย่างต่างๆที่เกี่ยวกับอะฮ์ลุลบัยต์ เช่น อัศฮาบุลกิซาอ์ และ บรรดาภริยาของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล) ในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ รายงานว่า มีความประเสริฐ คุณลักษณะพิเศษ และสิทธิสำหรับอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ตามความเชื่อของชีอะฮ์ ถือว่า อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) มีควาบริสุทธิ์ปราศจากความผิดบาปทั้งปวง และมีความสูงส่งกว่าบรรดาอัศฮาบทั้งหมด แต่ทว่าพวกเขายังมีความสูงส่งกว่าสรรพสิ่งทั้งหมดอีกด้วย และพวกเขามีหน้าที่ วิลายัต และความเป็นผู้นำของสังคมอิสลาม และ บรรดามุสลิม จะต้องปฏิบัติตามพวกเขาในทุกคำสอนทางศาสนา และถือว่า อะฮ์ลุลบัยต์ เป็นแหล่งที่อ้างอิงของตนอีกด้วย นอกจากนี้ ตามแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ การแสดงความรักต่อบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ เป็นข้อบังคับสำหรับชาวมุสลิม และในริวายะฮ์ต่างๆรายงานว่า เป็นรากฐานและโครงสร้างของอิสลาม โองการตัฏฮีร โองการมะวัดดะฮ์ ฮะดีษ ษะกอลัยน์ ฮะดีษ ซะฟีนะฮ์ และฮะดีษ อะมาน เหล่านี้ล้วนเป็นโองการและฮะดีษที่เป็นที่รู้จักเกี่ยวกับความประเสริฐของอะฮ์ลุลบัยต์ อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ แม้ว่าจะมีความเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับตัวอย่างของอะฮ์ลุลบัยต์ กับชีอะฮ์ก็ตาม แต่ทว่าส่วนมากของพวกเขา ถือว่า อัศฮาบุลกิซาอ์ คือ ตัวอย่างหนึ่งของอะฮ์ลุลบัยต์ และยังรายงานถึงความประเสริฐของพวกเขาอีกด้วย เช่น ความจำเป็นในการแสดงความรัก การห้ามมีความโกรธและเป็นศัตรูกับพวกเขา ความประเสริฐและความสูงส่งของอัศฮาบุลกิซาอ์ แหล่งที่อ้างอิงทางวิชาการและความบริสุทธิ์ปราศจากบาปทั้งหลาย

อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)

อิหม่ามโคมัยนี (ค.ศ. 1320-1409/ค.ศ. 1281-1368) มีชื่อเต็มว่า เซย์เยด รูฮอลเลาะห์ โมสตาฟาวี หรือ เซย์เยด รูฮอลเลาะห์ มูซาวี โคมัยนี เป็นผู้นำคนแรกและผู้นำสูงสุดคนแรกของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านในคริสตศตวรรษที่ 14
อิหม่ามโคมัยนีเป็นศาสนิกชนชีอะห์ที่นำการปฏิวัติอิหร่านในปี 1979 และหลังจากการปฏิวัติสิ้นสุดลง เขาได้ก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านหลังจากการประกาศผลการเลือกตั้งที่กำหนดระบอบการปฏิวัติ การต่อสู้ของเขาเริ่มต้นขึ้นในช่วงวัยรุ่นตอนต้น และวิวัฒนาการของการต่อสู้นั้นดำเนินไปควบคู่กันกับวิวัฒนาการของมิติทางจิตวิญญาณและวิทยาศาสตร์ของเขาในด้านหนึ่ง และกับสภาพทางการเมืองและสังคมของอิหร่านและสังคมอิสลามในอีกด้านหนึ่ง โดยดำเนินต่อไปในรูปแบบต่างๆ จนกระทั่งเขาเป็นผู้นำการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อโค่นล้มรัฐบาลปาห์ลาวีและก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน อิหม่าม โคมัยนี ได้ทิ้งหนังสือในด้านจริยธรรม นิติศาสตร์ ลัทธิลึกลับ ปรัชญา ฮะดีษ บทกวี และคำอธิบาย ไว้มากกว่าสี่สิบเล่ม ซึ่งส่วนใหญ่เขาเขียนก่อนการปฏิวัติอิหร่าน

ใครคือ โคมัยนี่

ศิลปะอิหร่านถือเป็นมรดกทางศิลปะที่ร่ำรวยที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก และรวมถึงหลายสาขาวิชา เช่น สถาปัตยกรรม จิตรกรรม การทอผ้า เครื่องปั้นดินเผา ดนตรี การเขียนอักษร และงานโลหะ ดังนั้น วันนี้เราจึงตั้งใจที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่คุณเกี่ยวกับศิลปะอิหร่านนี้ เราขอแนะนำให้คุณติดตามส่วนบทความในเว็บไซต์ Persis Collection สำหรับบทความด้านการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลปะอิหร่าน วิวัฒนาการของศิลปะอิหร่านสามารถสืบย้อนไปถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ ดูเหมือนว่าสภาพอากาศที่แตกต่างกันของอิหร่านจะมีอิทธิพลต่อการเกิดขึ้นของศิลปะประเภทต่างๆ ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันของผู้อยู่อาศัยในยุคแรกๆ ของดินแดนนี้ ภูเขา ทะเลทราย และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของอิหร่านเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างหมวดหมู่ศิลปะต่างๆ ในสมัยโบราณ ที่ราบสูงอิหร่าน ซึ่งเป็นซากภูเขาโบราณ เป็นที่อยู่อาศัยของชาวอารยันในยุคแรกเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน

ศิลปะเปอร์เซีย

ฮัจ ญ์ เ ป็ น ห ลัก ก า ร พ้ืน ฐ า น ป ร ะ ก า ร ห น่ึง ข อ ง อิ ส ล า ม มุ ส ลิม ทุ ก ค น มุ่ ง ห วัง ที่ จ ะ ป ร ะ ก อ บ ก า ร ฮัจ ญ์สัก ค ร้ัง ห น่ึง ใ น ชีวิต มุ ส ลิ ม จ า น ว น ม า ก ใ ช้ก า ร อ อ ม ส ะ ส ม ท รั พ ย์ไ ว้ต ล อ ด ชี พ เ พื่ อ จ ะ ไ ด้เ ดิ น ท า ง ไ ป ยัง บัย ตุ ล ล ล อ ฮฺ ซ่ึง แ ต่ล ะ ปีจ ะ มีมุส ลิม ไ ป ร ว ม กัน ใ น น ค ร มัก ก ะ ฮฺอ ย่ า ง น้อ ย ถึง 2 ล้า น ค น เป็ นการชุมนุมแห่งเดียวที่ยงิ่ ใหญ่ทีสุดของมวลมนุษยใ์นโลกเพื่อประกอบพิธีฮจัญ์
อั ล ล อ ฮฺ ( ซ . บ . ) ด้ ว ย พ ร ะ ปั ญ ญ า และเมตตาคุณอันไม่สิ้นสุดแห่งพระองค์ได้ทรงประกาศให้สถานที่ประกอบพิธีฮัจญ์“ฮะรอม” เป็นสถานศักด์ิสิทธ์ิอันผูเ้ป็นศัตรูของพระองค์และผูฉ้ ้อฉลจะไม่ได้รับอนุมัติให้เข้าไปในอาณาบริ เวณ แ ต่ เ ห ล่าผู้ซ่ึง ป ร า รถ น าคว า ม คุ้ม ครอง ป้องกัน จ าก พ ระองค์จ ะ มีคว า ม ป ลอ ด ภัย ผปู้ระกอบพิธีฮจัญผ์ไู้ดเ้ขา้ไปสู่บา้นแห่งอลัลอฮฺ มีความมนั่ ใจไดว้่าจะไดร้ับความปลอดภยัดว้ยประการท้งัปวง
ในการประกอบการอจัญน์ ้นั มุสลิมตอ้งประกาศปฏิเสธมุชรีกินท้งัหมด แมก้ระน้นักต็ามในการประกาศปฏิเสธต่อมุชริกีนของมวลฮุจญาผปู้ระกอบฮจัญใ์นเมืองมกักะฮฺเมื่อปีก ลา ย น้ี ( พ .ศ. 2 5 3 0 ) ฮุจ ญ า จ จ า น ว น ห ลา ย ร้อยค น ไ ด้ถูก สัง ห า ร ด้ว ยกร ะ สุน ปืน ดว้ยการตีจนตายโดยกองกา ลงัรักษาความปลอดภยัของซาอุด้ีและอีกจา นวนหลายพนัคนตอ้งไดร้ับบาดเจ็บ ส ถ า น ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ไ ด้ถู ก ล ะ เ มิ ด แ ล ะ ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ใ น พิ ธี ฮั จ ญ์ ไ ด้ ถู ก เ ห ยี ย บ ย ่ า ท า ล า ย ซ่ึงการกระทา ท้งัหลายเหล่าน้ีเป็นการละเมิดต่อบทบญั ญตัิคมั ภีร์อลักรุอานท าไมจึงเป็ นเช่นนั้น???
คา ถามน้ีได้คุกรุ่นอยู่ในจิตใจของมวลมุสลิมนับต้ังแต่ได้เกิดการสังหารหมู่ในมักกะฮฺเมื่อวันที่ 3 1 ก ร ก ฎ า ค ม 2 5 3 0 ว่ า ส ถ า น ศัก ด์ิสิท ธ์ิท้ัง ส อ ง คือ ฮ ะ ร อ มัย น์ใ น มัก ก ะ ฮฺ และ ม ะ ดีน ะ ฮฺ เ ป็น ส ม บัติของ ต ร ะกูล ห น่ึง ต ร ะกูลใ ด โ ด ย เ ฉ พ า ะ กร ะ น้ัน ห รือ ? และตระกลู ใดหรือครอบครัวใดจะเป็นผกู้า หนดแบบหรือวิธีการแห่งการประกอบฮจัญว์ ่าตอ้งเป็นเช่นน้นั เช่นน้ี โดยฮุจญาจไม่อาจมีเสรีภารในการประกอบพิธีกรรมตามแบบที่ตนเชื่อว่าท่านศาสดาไดก้า หนดแบบอยา่ งไวเ้ช่นน้นั ไดห้ รือไม่? ใครเป็นผมู้ีอา นาจเช่นน้ีและอา นาจน้นั ไดม้าอยา่ งไร?
ขณะที่ในหมู่มุสลิมมิไดม้ีใครแสดงความเห็นอยา่ งแขง็ขนัออกหนา้เรื่องการแยกศาสนาออกจากการเมื อง นักการเมืองที่มีอา นาจปกครองอยู่ในมือไดพ้ ยายามอย่างเต็มที่ ๆ จะดึงอิสลามให้เหลือแต่เพียงพิธีกรรม
มัส ยิด ต่าง ๆ ทั่ว “โ ล ก อิ ส ล า ม ” ยกเว้นในอิหร่านล้วนแล้วแ ต่ได้ถึงอิส ลา มลง สู่ฐานะน้ัน แ ล ะ พิธีก า ร แ ห่ ง ฮัจ ญ์ก็มีแ น ว โ น้ม ไ ป สู่ฐ า น ะ เ พีย ง พิธีก ร ร ม เ ช่ น กัน แนวโนม้กค็ือการดึงมุสลิมไปสู่การยอมจา นนต่ออา นาจท้งัหลายแห่งพวกปฏิเสธ (กุฟร์) อย่างไรก็ตามแนวโน้มดังกล่าวน้ันก็มิได้ถึงกับครอบคลุมไปทวั่ โลกมุสลิม ในความเป็นจริงแล้ว ทศันะที่กา้วหนา้ยงิ่ กว่าน้นัถือว่าระบบญาฮีลียะฮฺในปัจจุบนั น้นัจะตอ้งถูกทดแทนดว้ยระบอบอิสลามเหมือนอยา่ งที่ได้บัญญัติไว้ในคัมภีร์ไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน และแบบฉบับซุนนะฮฺของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้เคยปฏิบัติมาโดยแนวโน้มแห่งความคิดเห็นน้ีถือว่าการประกอบการฮัจญ์คือกิจกรรมที่เคลื่อนไหว เ ป็น โอกา ส ห ล่อ ห ลอ ม น ภ า ด ร ภ า พ แ บ บ อิส ลา ม ที่แ ท้จริงโ ด ยการ ป ระกาศ “ ตั ด ข า ด ” ของเหล่าผศู้รัทธาจากพวกมุชรีกีน หนงัสือน้ีมิเพียงแต่เสนอท่านผอู้่านดว้ยรายละเอียดแห่งโศกนาฏกรรมในมกักะฮฺเมื่อปีที่ล่วงมาเท่าน้นั แ ต่ไ ด้วิเ คร า ะ ห์ถึง ภูมิห ลัง แ ห่ ง ก า ร ก้า ว เ ข้า ม า แ ห่ ง อ า น า จ ขอ ง ต ร ะ กูล ซ า อู๊ดซ่ึงองักฤษไดส้ถาปนาข้ึนเพื่อความคุมฮะรอมยัน์เพื่อกีดกนัการฟ้ืนตวัของอิสลามในการครอบครองฮะรอมยัน์น้ั เบ้ืองตน้ เป็นผลประโยชน์ขององักฤษซ่ึงบดัน้ีไดเ้ปลี่ยนมือมาเป็นสหรัฐอเมริกาน้นัจะตอ้งไดร้ับการพิทกั ษป์ กป้ องตามแผนการจกัรวรรดินิยมและการทา ลายลา้งอิสลามที่ถูกตอ้งแทจ้ริงน้นัคือภาระสา คญั เป็นพิเศษ หนังสือนีพ้ ยายามที่จะผนวกความคดิเห็นอนัเป็นผลจากการอภิปรายของมวลมุสลมิในวาระต่างๆ กันเกี่ยวกับฮะรอมัยน์อันศักดิ์สิทธิ์นี้

&nbsp;

การสังหารหมู่ในมักกะฮฺและใครทรงสิทธิ์ในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์?

ความสัมพนัธ์ทางดา้นการเมืองระหวา่ งอิหร่าน และประเทศไทย(สยาม) นบั ต้งัแต่เริ่มแรกน้นัไดถู้กสถาปนาข้ึนอยา่ งเป็นทางการมากกวา่ 318 ปี มาแล้ว สมยัเมื่อบรรดาคณะทูตานุทูตไดม้ีการแลกเปลี่ยนระหวางพระราชสํานักของชาฮ์สุลัยมาน ศอฟาวียะฮ์ ่ แห่งอิหร่าน กบักษตัริยแ์ ห่งกรุงศรีอยธุ ยาของประเทศไทย อยา่ งไรก็ตามยงัมีหลกัฐานที่บ่งช้ีถึงความสัมพนัธ์ระหวา่ งสองชาติน้ีวา่ไดเ้ริ่มข้ึนมานานกวา่ น้นัแลว้ก่อนวนั ที่ดงักล่าว
ไดม้ีการคน้ พบเหรียญกษาปณ์ต่างๆแต่ร้ังโบราณของอาณาจักร ซัสซานียะฮ์(600 ปีก่อนคริสตก์ าล) ในบางภูมิภาคของประเทศไทย นอกจากน้นัการเดินทางมายงักรุงศรีอยธุ ยาของ เฉกอะหมัด กุมมี
ซ่ึงเป็นพอ่ คา้และนกัศาสนาชาวอิหร่าน นบัแต่น้นั มาก็ไดม้ีการติดต่อสัมพนัธ์กนัอยา่ งต่อเนื่องอยา่ งไม่ขาดสายในการปรากฏของชาวอิหร่านในประวตัิศาสตร์แห่งชาติสยาม การแต่งต้งัชาวอิหร่านบางคนที่อาศยัอยใู่ นประเทศไทยน้นั นบั เป็นกุญแจสาํคญั ในตาํแหน่งงานสาํคญั ๆของรัฐบาลในสมยัน้นั อาทิเช่น ตาํแหน่งนายกรัฐมนตรี และตาํแหน่งเสนาบดี ฯลฯ ยงิ่ กวา่ น้นัไดม้ีการแปลและตีพิมพผ์ลงานต่างๆทางดา้นวรรณกรรมเปอร์เซีย
ออกสู่ภาษาไทย ท้งัหมดเหล่าน้ีต่างเป็นสักขีพยานถึงความสัมพนัธ์ทางดา้นต่างๆอนัยาวนานระหวา่ งอิหร่านกบั ประเทศไทย ความสัมพนัธ์เหล่าน้นัไดถู้กสถาปนาข้ึนโดยผา่ นการใหค้วามเคารพนบัถือกนัและกนัระหวา่ งสองชาติน้ี ความสัมพธั์ต่างๆเหล่าน้นั เป็นเหมือนตราประทบั ที่บ่งบอกถึงความสัมพนัธ์ฉนั มิตรอนั มนั่ คงยงั่ ยนื ที่มีต่อกนั และกนั ท้งัสองชาติน้ีเป็นเวลายาวนานมาก และจะยงัคงเจริญเติบโตเขม้แขง็ยงิ่ ๆข้ึนไปในอนาคต
เพื่อวา่ ประเทศท้งัสองจกัไดร้ับความปิติชื่นชมในประโยชน์ต่างๆที่บงัเกิดข้ึนจากผลของความสัมพนัธ์น้นั “ ป ร ะ วั ติ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง อิห ร่ า น แ ล ะ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ” นับเป็นการรวบรวมผลงานที่ทรงคุณค่าที่เชื่อถือได้ที่สุดของนักเขียน, นักวิจยั, ผูรู้้และบรรดานักคิด ท้งัชาวไทยและชาวอิหร่านที่ไดท้ ุมเทอยา่ งหนกัหน่วงในการเปิดเผยใหแ้ง่มุมต่างๆของประวตัิศาสตร์อนัยาว นานแห่งความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประเทศท้ังสองจากอดีตอันไกลโพ้นให้เห็นเป็ นที่ประจักษ์ การรวบรวมผลงานดงักล่าวน้ีซ่ึงไดถู้กจดัพิมพภายใต้การอุปการะของศูนย์วัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูต ์ ส า ธ า ร ณ รั ฐ อิ ส ล า ม แ ห่ ง อิ ห ร่ า น
ประจาํกรุงเทพมหานครน้นั เป็นการอา้งอิงถึงหลกัฐานที่แทจ้ริงและที่มีคุณค่าสําหรับประชาชนชาวไทยและ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับเยาวชนคนหนุ่มสาวชาวไทยตลอดท้ังบรรดานิสิ ตนักศึกษามหาวิทยาลัย
จะไดท้ าํความรู้จกัคุน้ เคยกบัความสัมพนัธ์แห่งมิตรภาพอนัยงั่ ยนืยาวนาวา่ ไดป้ รากฏอยตู่ ลอดมาในระยะเวลา อนัยาวนานแห่งประวตัิศาสตร์ของความสัมพนัธ์ฉนั มิตรระหวา่ งประเทศท้งัสองน้ี ข้าพเจา้มนั่ ใจวา่ “ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอิหร่าน” เป็ นหนงสือที่ได้รับการประดับประดาเป็ นพิเศษด้วยคํานําที่ ฯพณฯ ดร.สุรเกยีรต์ิ เสถียรไทย,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย ได้กรุณาเขียนให้,
ควบคูกนัไปกบัผลงานอื่นๆที่ได้มีการแปลมาแล้วในอดีตซึ่งสิ่งเหล่าน้ีจะช่วยปูทางเพื่อเป็นการยอมรับยงิ่ ๆข้ึ นไป ในความสัมพนัธ์ระหวา่ งไทยอิหร่านและจะช่วยสร้างความเป็นปึกแผน่ แน่นหนายงิ่ ๆข้ึนไปในความสัมพนัธ์แห่งมิตรภาพที่ดาํรงอยรู่ ะหว่างสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและราชอาณาจกัรไทย

ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอิหร่าน

ดร. อาลี ชาริอาตี เป็นนักสังคมวิทยาและนักวิจัยศาสนาซึ่งใช้เวลาหลายปีในยุคมืดของเผด็จการ โดยเข้าร่วมการบรรยายหลายครั้งเพื่อนำเสนอแนวคิดอิสลามจากมุมมองของเขา
ในการบรรยายครั้งหนึ่ง เขากล่าวถึงความคาดหวังของยุคปัจจุบันจากผู้หญิงมุสลิม และในขณะเดียวกันก็ชี้ให้เห็นว่า: จะดีกว่านี้หากคุณคาเมเนอี ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ เป็นผู้นำเสนอการอภิปรายนี้แทนฉัน แต่โชคไม่ดีที่เขาไม่มีโอกาสเข้าร่วมโปรแกรมนี้
ในระหว่างการอภิปราย ชาริอาตีอ้างถึงช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนในประวัติศาสตร์อิสลาม และในเอกสารอ้างอิงฉบับหนึ่งของเขา กล่าวว่า: ในยุทธการที่ซิฟฟิน หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการยืนยันและให้กำลังใจวิญญาณของมูจาฮิดีนที่ต่อสู้ภายใต้ธงของอาลี (AS) คือผู้หญิงที่ปลุกเร้ามูจาฮิดีนของอาลี (AS) ให้ก่อสงครามญิฮาดด้วยบทกวี บทเทศนา และสุนทรพจน์อันเร้าใจ นักสังคมวิทยาศาสนารายนี้เขียนไว้ในอีกส่วนหนึ่งของหนังสือ Waiting for the Present Age of Muslim Women ว่า เมื่อซัยนับ (PBUH) เห็นว่าการเคลื่อนไหวได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และการเคลื่อนไหวนี้ได้รับการนำโดยอิหม่ามฮุสเซนและพี่ชายของเขา การมีส่วนร่วมของซัยนับไม่ใช่เป็นการมุ่งมั่นต่อพี่ชายของเธอ แต่เป็นการมุ่งมั่นต่อตัวเธอเองและต่อพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเธอเห็นว่าผู้นำของการเคลื่อนไหวนี้ได้กำหนดและเลือกเส้นทางสำหรับญิฮาดต่อต้านการกดขี่ที่ครอบงำสังคม เธอเองก็ละทิ้งครอบครัวและสามีของเธอและเข้าร่วมการเคลื่อนไหว ฮาซรัตซัยนับ ผู้ซึ่งอยู่เคียงข้างอิหม่ามฮุเซน (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จวบจนวินาทีแห่งการพลีชีพ และอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาสำหรับฮุเซน (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และสหายของเขา มีเพียงเธอเท่านั้นที่ถือธงแห่งการสานต่อการเคลื่อนไหวนี้ และด้วยความมั่นคง ไม่ต้องสงสัย ไม่หวั่นไหว และไม่มีความคิดเสื่อมทรามและไม่รอบคอบ เธอพูดความจริงที่ฮุเซน (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) พูดด้วยเลือดของเขาเอง เธอพูดด้วยคำพูดเพียงลำพัง และตะโกนเรียกร้องอำนาจทุกหนทุกแห่ง และหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการปฏิวัตินี้ในดินแดนทุกแห่งที่เธอไป อาลี ชารีอาตี กล่าวต่อไปโดยอ้างถึงการเคลื่อนไหวปฏิวัติและกล้าหาญของฮาซรัต ซัยนับ (PBUH) และเน้นย้ำถึงผลกระทบของการเคลื่อนไหวของอากีลาแห่งบานี ฮาชิม และเขียนว่า ซัยนับได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการปฏิวัติในลักษณะที่แม้กระทั่งทุกวันนี้ เรายังเห็นในประเทศที่ยังไม่มีสถานะชีอะอย่างเป็นทางการ แต่ความรักของอาห์ล อัล-บัยต์และความรักของครอบครัวศาสดายังคงฝังรากลึกอยู่ที่นั่น ในช่วงเวลาที่อำนาจทั้งหมดถูกทำลาย และฐานรากทั้งหมดที่ผู้ชายสนับสนุนก็ล้มละลายและถูกรื้อถอน แม้ว่าอำนาจของจักรวรรดิเคาะลีฟะฮ์จะทำให้ตะวันออกและตะวันตก อิหร่านและโรมต้องคุกเข่าลง ผู้หญิงคนหนึ่งยังคงติดตามการปฏิวัตินี้ต่อไป และเผยแพร่เมล็ดพันธุ์แห่งความคิดและสำนักของฮุเซน (PBUH) ไปทั่วทุกแห่ง และนำหยดเลือดของคาร์บาลาเป็นตัวอย่างทุกที่ และแสดงให้ทุกเวลาเห็น และปาฏิหาริย์ทั้งหมดเหล่านี้เป็นของผู้หญิง ในส่วนอื่นของหนังสือของเขา ชาริอาตีเน้นย้ำประเด็นนี้: เมื่อผู้หญิงในศตวรรษนี้ - ผู้หญิงที่มีความรู้และมีความรับผิดชอบ - ได้เห็นบทบาทดังกล่าวจากครอบครัวของฟาติมา สันติภาพจงมีแด่เธอ เธอจะรู้ว่าต้องมองหาผู้หญิงในสมัยนั้นที่ไหนและจะสร้างมันขึ้นมาอย่างไร และเธอเข้าใจว่าผู้หญิงในทุกวันในทุกศตวรรษสามารถสร้างขึ้นจากแบบจำลองนี้ได้ ดร. อาลี ชาริอาตียังคงเน้นย้ำถึงบทบาทที่แท้จริงของผู้หญิงมุสลิมและผลกระทบที่พวกเธอมีต่อโลกอิสลามหากพวกเธอรู้ และเสริมว่า: เป็นหน้าที่ของนักเขียน นักวิจัย และนักเทศน์ที่มีความรู้และมีความรับผิดชอบที่จะมอบภาพเหล่านี้ให้กับคนรุ่นนี้อย่างชัดเจน ถูกต้อง และมีสติ

โลกปัจจุบันหวังอะไรจากสตรีมุสลิม

หนังสือ The Face of Western Civilization and Its Civilizational Practices ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และในที่สุด อิสลามก็ได้รับการแนะนำว่าเป็นคำตอบสำหรับความต้องการของมนุษยชาติในโลกตะวันตกยุคใหม่ แม้ว่าจะผ่านมาแล้วกว่า 37 ปีนับตั้งแต่หนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ แต่ก็ยังคงมีความอ่อนโยนและสดใหม่ หลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม Zalmay Khalilzad ซึ่งปัจจุบันเป็นตัวแทนของสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ ได้ยืนยันคุณค่าของหนังสือเล่มนี้โดยระบุว่า "หากโลกตะวันตกต้องการคุ้นเคยกับปรากฏการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ก็ควรศึกษาหนังสือ Islam and the Face of Western Civilization" หนังสือเล่มนี้มี 2 ส่วน คือ "The Course of Human Life and Civilization" และ "Islam's Response to the Problems of the World" ซึ่งส่วนแรกกล่าวถึงการประเมินอารยธรรมตะวันตกและความผิดปกติที่ควบคุมสังคมตะวันตก และนำเสนออารยธรรมตะวันตกในระดับผิวเผินต่อผู้อ่านได้ดี หนังสือพิมพ์ The Hampshire Chronicle (28 ตุลาคม 1977) เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเล่มนี้ภายใต้ชื่อเรื่อง "ตะวันตกจากมุมมองของมุสลิม" ว่า "ตะวันตกละทิ้งคุณค่าทางจิตวิญญาณ ความเป็นมนุษย์ และศีลธรรม และโยนแอกแห่งความเป็นทาสและการเป็นทาสให้กับเครื่องจักร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้บูชาและทาสของเครื่องจักรจะไม่มีวันบรรลุความสุข ความสะดวกสบาย และความเป็นอยู่ที่ดีที่แท้จริง นี่คือการตัดสินและการตัดสินที่ชาญฉลาดและยุติธรรมจากนักวิชาการด้านศาสนาอิสลามผู้ได้รับการเคารพและยกย่องสำหรับบทบาททางสังคมและผลงานทางศาสนาในประเทศของเขาเอง อิหร่าน และผู้ที่ถูกบังคับให้ใช้ชีวิตช่วงสั้นๆ ในโรงพยาบาลในเยอรมนีเนื่องจากเจ็บป่วย...

อารยธรรมตะวันตกในสายตามุสลิม

อิหร่านเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งกำเนิดอารยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานและอุดมสมบูรณ์ของอารยธรรมโบราณที่พัฒนาขึ้นในภูมิภาคนี้ อารยธรรมบนที่ราบสูงอิหร่านและเมโสโปเตเมีย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับอิหร่าน ถือเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่รู้จัก เมืองเบิร์นท์เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดของอารยธรรมอิหร่านโบราณ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในหลากหลายสาขา เช่น อุตสาหกรรม ศิลปะ และการจัดระเบียบทางสังคม
นักโบราณคดีเชื่อว่าอารยธรรมบนที่ราบสูงอิหร่านเป็นอารยธรรมอิสระที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มีอายุย้อนกลับไปประมาณ 12,000 ปี
อิหร่านเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ เช่น ชาวเอลาม ซึ่งยังคงมีอนุสรณ์สถานโบราณ เช่น โชกา ซันบิล หลงเหลืออยู่

เมืองโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคซิสถานและบาลูจิสถาน เป็นตัวอย่างของอารยธรรมขั้นสูงที่มีโครงสร้างเมือง ระบบประปา และงานหัตถกรรมที่หลากหลาย ความเชื่อมโยงกับอารยธรรมอื่น ๆ:
หลักฐานชี้ให้เห็นว่าอารยธรรมเอลามมีความเชื่อมโยงกับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุในอินเดียผ่านทางบาโลจิสถานและอารยธรรมสุเมเรียนผ่านทางซูซา
อิหร่านมีโบราณสถานจำนวนมากซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรมในสมัยโบราณ
ดังนั้น อิหร่านจึงเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งกำเนิดอารยธรรมเนื่องจากอารยธรรมโบราณมีอายุยาวนานและอุดมสมบูรณ์ รวมถึงซากอารยธรรมที่หลงเหลืออยู่

อิหร่าน อู่แห่งอารยธรรม

คำนำของผู้จัดพิมพ์ ตามพื้นฐานอุดมการณ์แห่งอิสลามนั้น การปกปิดร่างกาย (ฮิญาบ) ของสตรีเป็นหลักการขั้นต้นและสำคัญหลักการหนึ่ง ทัศนะ ของอิสลามเกี่ยวกับสตรีนั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากความคิดของ
ตะวันตก อิสลามถือว่าสตรีก็คือร่างกายครึ่งหนึ่งของสังคมและถือว่า สตรีควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีมาตรฐานและมีคุณค่าของมนุษย์เช่นเดียว กับบุรุษ สังคมตะวันตกนั้นมองสตรีผ่านบัญชรแห่งความรู้สึกรุนแรง
ทางเพศและถือว่าสตรีคือมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ซึ่งมีไว้สำหรับสนองความต้อง การทางเพศเท่านั้น แม้แต่ในเรื่องการสมรสมีเหย้ามีเรือน ปัญหาแรก ที่จะต้องคิดก่อนสิ่งอื่นใด ก็คือปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์ทางเพศ เพราะ
ฉะนั้นวิธีคิดเช่นนั้นจึงไม่มีผลอะไร นอกไปจากจะทำให้สตรีกลาย เป็นสินค้าสำหรับซื้อขายและโฆษณาไปในทุกด้านแห่งชีวิตในตะวันตกนับตั้งแต่งานด้านสื่อสารมวลชนไปจนถึงตามถนนหนทางถิ่นร้านรวง
นี่คือความตกเป็นทาสในระดับสูงสุดของสตรีและความตกต่ำของ สังคมตะวันตกซึ่งจะไม่มีผลอะไรนอกเหนือไปจากความเลวทรามทุจริตและความทุกข์ ส่วนอิสลามนั้นในขณะที่อนุญาตและเปิดทาง
อันกว้างขวางให้สตรีได้มีกิจกรรมในสังคมได้ แต่ก็ได้จำกัดกิจกรรม และเสรีภาพทางกามารมณ์ไว้ ด้วยกฎหมายที่ถูกต้องเหมาะสมและมีผลรอบด้าน อิสลามได้สร้างความสมดุลอันมีเหตุผลและยุติธรรม
ขึ้นในเรื่องราวเกี่ยวชีวิตส่วนตัวและชีวิตในสังคมของสตรี เรื่องแรกที่เหมาะสมที่จะปฏิบัติในด้านนี้ก็คือ ฮิญาบ สตรีมี พันธะตามหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามมาตรการนี้เพื่อป้องกันความเลวทรามและการไขว้เขวออกไปนอกแนวทางอันถูกต้องในหนังสือเล่มนี้ ได้มีการกล่าวถึงเรื่องฮิญาบนี้ ในคำบรรยาย

ฮิญาบในอิสลาม

คุณสมบัติของมนุษย์ขึ้นอยู่กับอารมณ์และค่านิยม ดังนั้นมนุษย์จึงสมควรได้รับการเรียกว่า "ผู้เคร่งศาสนา" เพราะพวกเขามีคุณสมบัติดังกล่าว หากไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ พวกเขาจะไม่ต่างอะไรจากสัตว์
การบรรลุคุณค่าสูงสุดของมนุษย์สามารถทำได้โดยการอบรมจิตวิญญาณและฝึกฝนจิตวิญญาณให้ยอมรับคุณสมบัติทางจิตวิทยาและจิตวิญญาณที่ดี ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่านักสังคมวิทยาและนักจิตวิทยา
ได้ทำการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดเกี่ยวกับวิธีต่อสู้หรือป้องกันความชั่วร้ายและปรับปรุงศีลธรรม นักวิชาการที่มีความรู้มากที่สุดและนักการศึกษาที่ดีที่สุดในสาขานี้คืออิมามศักดิ์สิทธิ์ของเรา พวกเขาได้ให้คำแนะนำแก่เราผ่านคำพูดของพวกเขา และชีวิตของพวกเขาเป็นตัวอย่างที่เราควรปฏิบัติตามเพื่อที่เราจะสามารถพัฒนาศีลธรรมที่ดี คำแนะนำและตัวอย่างเหล่านี้ทำให้เรามีโอกาสใช้ชีวิตที่มีความสุขและมีศีลธรรมที่ดี หลายคนต้องทนทุกข์จากพฤติกรรมชั่วร้ายของตนและไม่สามารถหาทางออกได้ หนังสือเล่มนี้เน้นไปที่เยาวชนโดยเฉพาะ เนื่องจากเยาวชนมีความอ่อนไหวต่อเรื่องราวของชีวิตมากกว่า อย่างไรก็ตาม หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าวเพื่อเป็นแนวทางทางอุดมการณ์และทางปฏิบัติสำหรับเยาวชนมีเพียงไม่กี่เล่ม และภาษาที่ใช้ยังไม่ทันสมัยมากนัก

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงตัดสินใจผลิตหนังสือดังกล่าวสำหรับเยาวชนในปัจจุบัน ซึ่งก็คือ Youth and Morals: A Step Towards Eradicating Corruption ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับการรับรู้เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมใหม่ตามโองการของอัลลอฮ์ คำพูดและการกระทำของศาสดาและอิมาม (อ.ส.) เราขอแนะนำให้ท่านอ่านหนังสือเล่มนี้ทั้งเล่มและใช้เป็นแนวทางในการป้องกันและเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายในสังคม

คุณธรรมนำชีวิต: เยาวชนและศีลธรรม

Uncategorized

คลังวารสาร

หญิง

ชาย

เยาวชน

วัยรุ่น

เรื่องเล่า

วิทยาการ

การเรียนการสอน

เด็กและครอบครัว

เด็ก

ครอบครัว

การรู้จักคู่ปรปักษ์

การอบรมและการศึกษา

ศาสนาและนิกายต่าง ๆ

โซโรแอสเตอร์

ศาสนายะฮูดียฺ

ศาสนาคริสต์

ศาสนาอิสลาม

ศาสนาต่างๆ

ศาสนาและนิกาย

เรื่่องเล่าและเรื่องสั้น

วัฒนธรรม

แหล่งอ้างอิง

ศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และอะฮฺลุลบัยต์ (อ.ส.)

นักวิชาการ ผู้เฒ่าผู้แก่ และคนดัง

เหล่าผู้พลีชีพ

ครอบครัวของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.ส.)

เพื่อนฝูงและมิตรสหาย

ชีวประวัติ

บทกวี

วัฒนธรรมและอารยธรรมอิสลาม

วรรณกรรมอิสลาม

ความเข้าใจเกี่ยวกับกุรอาน

วิทยาการกุรอาน

อรรถาธิบายกุรอาน

ศาสตร์อัลกุรอาน

ชีอะฮฺ

วิทยาการด้านการพิสูจน์

สังคมวิทยา

จิตวิทยา

การจัดการ

เศรษฐศาสตร์

การเมือง

สังคมศาสตร์

ปรัชญา

ตรรกะ

เทววิทยา

จิตวิญญาณและจริยธรรม

วิทยาการอิสลาม

หลักความเชื่อ

วิทยาการเหตุและผล

การแพทย์อิสลาม

ดาราศาสตร์อิสลาม

ภูมิศาสตร์อิสลาม

ธรรมชาติวิทยา

วิทยการฮะดีซ

ประเทศอิสลาม

กุรอาน-อ่านทำนอง

คำแปลภาษาไทย

ภาษาอาหรับ

ดาวโหลดอัลกุรอานแปล

ซุนนียฺ

เนื้อหาอัลกุรอาน

อัลกุรอาน

หลักศรัทธา

จริยธรรมอิสลาม

วจนะอิสลาม

บทดุอา

ภาษา

ประวัติศาสตร์ก่อนอิสลาม

ประวัติศาสตร์อิสลาม

ประวัติศาสตร์ของประเทศอิสลาม

Books

Books